Blogs

/

มีเพชรอยู่ชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่ของแท้ แต่ไม่ถือว่าเป็น “เพชรปลอม”

มีเพชรอยู่ชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่ของแท้ แต่ไม่ถือว่าเป็น “เพชรปลอม”

13 มกราคม 2568

headerImage

สิ่งนี้เรียกว่า “เพชรสังเคราะห์” หรือ Lab-Grown Diamond เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เราจึงขอจำแนกเพชรเป็น 3 ประเภทหลักๆดังนี้

  1. เพชรธรรมชาติ หรือเพชรแท้ (Natural Diamond)
  2. เพชรสังเคราะห์ (CZ, Moissanite)
  3. เพชรแล็บ (CVD, HPHT)
    แล้วทำไม เพชรสังเคราะห์ ถึงกำลังได้รับความนิยม แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าเพชรปลอมทั่ว ๆ ไป ?

เพชรสังเคราะห์ ที่กำลังพูดถึง คือ เพชรที่มีคุณสมบัติทางเคมี และหน้าตาเหมือนเพชรแท้ที่เกิดจากธรรมชาติทุกประการ จนแทบแยกไม่ออกด้วยตาเปล่า

เพียงแต่มันถูกสร้างขึ้นภายใน “ห้องแล็บ”
โดยเพชรสังเคราะห์เม็ดแรกเกิดขึ้นจาก การทดลองในห้องแล็บของบริษัท General Electric
ในนิวยอร์ก ช่วงปี 1954 หรือเมื่อ 68 ปีที่แล้ว

เพชรธรรมชาติ” ต้นกำเนิดจากธรรมชาติที่แท้จริง✨💎
เพชรธรรมชาติ เกิดขึ้นจากการก่อตัวขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อนลึกลงไปใต้เปลือกโลก ภายใต้ผื้นผิวโลกที่มีความร้อนและความดันที่สูงมาก ซึ่งทําให้อะตอมของคาร์บอนตกผลึก กลายเป็นเพชรในระดับความลึกประมาณ 150-200 กม. ใต้พื้นผิวโลก ซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ย 900-1,300°C และแรงดันอยู่ที่ 45-60 กิโลบาร์ (ซึ่งประมาณ 50,000 เท่าของความดันบรรยากาศที่พื้นผิวโลก)

เพชรสังเคราะห์ vs. เพชรแล็บ CVD HPHT ต่างกันอย่างไร
เพชรสังเคราะห์ เพชร CZ (Cubic Zirconia) หรือที่เรารู้จักกันในนาม เพชรรัสเซีย หรือเพชรสวิส เดิมทีได้รับการคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ทดแทนสำหรับเพชรธรรมชาติ เพื่อใส่บนเครื่องประดับเงินหรือแนวแฟชั่นที่เพราะมีราคาถูก ส่วนใหญ่จะใช้กับเครื่องประดับในงบหลักร้อยถึงหลักพัน เพราะมีคุณสมบัติที่มองเห็นด้วยตาเปล่าคล้ายกับเพชรธรรมชาติทำให้ผู้ซื้อเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เพชร CZ ในยุคแรกถูกนำมาหลอกขายให้กับผู้ซื้อมากมายในราคาสูงเหมือนเพชรแท้ ซึ่งก็มีผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากมายที่หลงเชื่อ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็มีผู้ที่รู้เรื่องนี้มากขึ้น เนื่องจากเพชร CZ นั้นสามารถแยกแยกได้ด้วยตาเปล่าไม่ยากหากเป็นผู้เชี่ยวชาญ

เพชรแล็บ (HPHT, CVD)
เพชร Lab-Grown เป็นการพัฒนาอีกขั้นของนวัตกรรม เพชร Lab-Grown เกิดจากการตกผลึกของธาตุคาร์บอนในห้องทดลอง ที่ถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้สภาวะที่คล้ายคลึงกันกับการเกิดของเพชรธรรมชาติ โดยที่เพชร Lab-Grown นั้นสามารถเพาะขึ้นได้จาก 2 วิธีด้วยกัน ดังนี้

  1. เพชร HPHT (High-Pressure High Temperature)
    เพชร HPHT เป็นวิธีการในยุคแรกๆของการผลิตเพชร Lab-Grown โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950s นอกเหนือจากผลิตเพชรแล้วกระบวนการผลิตเพชร HPHT ยังสามารถใช้เพื่อปรับแต่งความสะอาดและสีเพชรของเพชรธรรมชาติให้น้ำสูงขึ้น หรือมีสีสันต่างๆ เช่น ชมพู เขียว น้ําเงิน หรือเหลือง เป็นต้น วิธีการสร้างเพชร HPHT คือการนำเมล็ดเพชรขนาดเล็กจะถูกวางลงในคาร์บอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเพาะเพชร เมล็ดเพชรสัมผัสกับความร้อนและแรงกดสูง โดยจําลองวิธีที่เพชรเติบโตตามธรรมชาติ ใต้พื้นผิวโลก เมื่อสัมผัสกับความร้อนสูงถึง 1,500°C และแรงดันที่สูงมาก คาร์บอนจะละลายและก่อตัวเป็นเพชรรอบเมล็ด เมื่อก้อนเพชรเย็นลงก็จะกลายเป็นเพชรคาร์บอนบริสุทธิ์ ในรูปทรง 14 เหลี่ยม (cuboctahedron)

  2. เพชร CVD (Chemical Vapor Deposition)
    เพชร CVD ได้รับการคิดค้นขึ้นในห้องแล็บในปี ค.ศ.1980s ซึ่งถือว่าเป็นวิวัฒนาการที่ใหม่กว่า HPHT เพราะใช้แรงดันน้อยกว่าและเครื่องจักรที่เล็กกว่าในการผลิต ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ถูกลงมาก วิธีการสร้างเพชรแบบ CVD คือการนำเมล็ดเพชรใส่ในห้องระบบปิดที่มีความร้อนสูงถึง 800°C อัดก๊าซที่มีคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป จนแตกตัวเป็นไอออน ส่งผลให้คาร์บอนบริสุทธิ์ลอยไปเกาะตัวกับเมล็ด และค่อยๆตกผลึกกลายเป็นเพชรในรูปทรงลูกบาศก์

เทียบข้อดี-ข้อด้อย เพชรธรรมชาติ vs. เพชร Lab-grown

ข้อดีของเพชรธรรมชาติ

  1. มูลค่าของเพชรธรรมชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งเพชรมีความสวยในเรื่องของขนาดน้ำ ความสะอาด และการเจียระไนดีเท่าไหร่ก็จะยิ่งหายากมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นผลดีต่อราคาในอนาคตด้วย จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจเรื่อง Passion Investment
  2. เพชรธรรมชาติมีประวัติที่ยาวนาน สวมใส่กันโดยผู้นำและผู้มีบารมีตั้งแต่เมื่อหลายพันปี รวมถึงมีการซื้อขายมานานหลายร้อยปี จึงมีตลาดที่กว้างขวาง ราคามีมาตรฐานและเสถียรภาพ เป็นที่ยอมรับโดยผู้คนส่วนใหญ่
  3. ผู้คนให้การยอมรับและยังมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับผู้รับ เนื่องจากเพชรแท้ธรรมชาติจะยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อด้อยของเพชรธรรมชาติ
เมื่อคุณมีความตั้งใจว่าจะลงทุนซื้อเพชรธรรมชาติ จำเป็นต้องไว้ใจเลือกร้านที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากในยุคหลังนี้ มีข่าวเกิดขึ้นมากมายว่ามีผู้ขายบางรายนำเพชรแล็บมาจำหน่าย ในราคาไม่แพง โดยเคลมว่าเป็นเพชรธรรมชาติ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้คุณซื้อเพชรกับร้านที่มีจรรยาบรรณ

ข้อดีของเพชรแล็บ
มีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับเพชรแท้เกินกว่า 99% รวมถึงการเล่นไฟในแบบเดียวกันกับเพชรธรรมชาติ จึงสามารถใช้หลัก 4Cs ในการเมินคุณภาพเพชรได้ และยากต่อการแยกแยะด้วยตาเปล่า หากไม่มีเครื่องมือตรวจพิเศษอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับเพชรธรรมชาติ ในสเปคเดียวกัน เพราะมีราคาที่ย่อมเยากว่า 60-80 % จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการใส่เพชรเม็ดใหญ่ในงบสบายกระเป๋า เช่น คุณอาจซื้อเพชรแล็บ 3 กะรัต ได้ในงบประมาณใกล้เคียงกันกับเพชรธรรมชาติ 1 กะรัต การปลูกเพชร Lab-grown เป็นสร้างจากห้องทดลอง จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า เพราะไม่ต้องมีการขุดเหมืองจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีข้อมูลที่ค้านว่ามันอาจไม่ได้รักษ์โลกขนาดนั้น เพราะการสร้างเพชรในห้องแล็บจำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาลเช่นกัน

ข้อด้อย:
เนื่องจากเพชรแล็บสามารถผลิตออกมาได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีจำกัด อีกทั้งยังมีแล็บที่สร้างขึ้นใหม่ จำนวนมากเข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว จึงอาจไม่เหมาะต่อการซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เพชรสังเคราะห์ไม่มีทางให้ได้แบบเพชรแท้ ก็คือมูลค่าในตัวเอง โดยเพชรสังเคราะห์ไม่สามารถขาย หรือจำนำในลักษณะของการลงทุนได้ แถมยังมีมูลค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เพราะมันสามารถผลิตเพิ่มได้ไม่จำกัดต่างจากเพชรธรรมชาติ

ที่นับวันยิ่งหาได้น้อยลงแถมยังมีมูลค่าเพิ่ม ตามความต้องการของตลาดด้วย ดังนั้น หากใครที่ชื่นชอบเพชรในแง่ของความสวยงามและไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าในอนาคต เพชรสังเคราะห์ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หากมองเพชรเป็นการลงทุนสำหรับในอนาคต แน่นอนว่า เพชรธรรมชาติ ก็จะสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่า

ดังนั้น เพชรสังเคราะห์ และเพชรธรรมชาติ จึงไม่ได้เกิดมาเพื่อทดแทนกันและกัน เพียงแต่เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค ที่มีความชอบและจุดประสงค์ที่ต่างกันนั่นเอง..


ทั้งนี้ DDG JEWELRY ขอยึดมั่นและขอย้ำในจุดยืนว่า เราเลือกใช้เฉพาะเพชรแท้จากธรรมชาติเท่านั้น และจะคอยให้คำแนะนำอย่างจริงใจกับลูกค้าของเรา เพื่อให้คุณได้ลงทุนในเพชรธรรมชาติที่มีคุณภาพ ขอบคุณครอบครัวคนรักเพชรค่ะ

image
image